Florilège ร้านอาหารฝรั่งเศสร่วมสมัยที่ผสมผสานกับวัตถุดิบในญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว เป็นหนึ่งในร้านระดับ Top ของเอเชีย และการันตีด้วยมิชิลินสตาร์ถึง 2 ดาว
ข้อมูลร้าน
ชื่อ: Florilège
ที่อยู่: Seizan Gaienmae B1F, 2-5-4 Jingumae, Shibuya-ku, Tokyo
เวปไซต์: https://www.aoyama-florilege.jp/en/
จอง: https://pocket-concierge.jp/en/restaurants/243674 https://www.tablecheck.com/en/shops/florilege/reserve
ราคา: กลางวัน ~9000 JPY / กลางคืน ~18000JPY ไม่รวมเครื่องดื่ม

ใครที่ชอบสรรหาของอร่อยในโตเกียวจะสังเกตุเห็นว่า ร้านอาหารฝรั่งเศสในโตเกียวนั้นมีเยอะมากๆ มีทั้งฝรั่งเศสจ๋าๆ ไปจนถึงฝรั่งเศสฟิวชันญี่ปุ่น ซึ่ง Florilège ก็เป็นหนึ่งในอย่างหลัง
ที่ตั้งของร้านอยู่ใจกลางโตเกียว ย่าน Aoyama ห่างจากสถานี Gaien-mae ประมาณ 5 นาที ตัวร้านจะอยู่ชั้นใต้ดิน เงียบสงบมากๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะเดินดุ่มๆ เข้าร้านไปนั่งได้เลยนะ ด้วยชื่อชั้นระดับ Top 5 Asia 2019 พร้อมด้วย มิชิลิน 2 ดาว แนะนำให้จองคิวล่วงหน้าเดือนถึงสองเดือนเป็นอย่างน้อย (จองผ่าน Pocket concierge หรือ Tablecheck ก็ได้) แต่เราเชื่อว่าลูกเพจแอดฉลาด เช็คคิวร้านอาหารก่อนเดินดุ่มๆ ไปหน้าร้านอยู่แล้ว (ไม่เหมือนกับแอด 55)

เข้ามาในร้านจะมีพนักงานตอนรับแล้วก็ lobby เล็กๆ ให้นั่งรอตากแอร์รอเพื่อนได้ พอถึงเวลาก็เข้าไปที่โต๊ะ
ที่นั่งส่วนใหญ่จะเป็น counter bar นั่งล้อมห้องครัวตรงกลาง. ถือว่าให้ประสบการณ์ที่ดีมากๆ เวลานั่งทาน สำหรับใครที่อยากได้เป็นความส่วนตัว ที่ร้านก็มี private room ให้จองเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้นั่ง counter ดีกว่า

สารภาพว่ารายละเอียดหลายๆ อย่างอาจจะขาดๆ หายๆ บ้าง เพราะเขียนรีวิวหลังจากไปทานมาแล้วเกือบเดือน ฮ่าๆ
วันนี้มากิน course กลางวัน เลี้ยงส่งเพื่อนกลับไทยไปแต่งงานครับ ของคาว 5 อย่าง ตามด้วยของหวานอีก 2 อย่าง รวมทั้งหมด 7 จาน จะน้อยกว่า course กลางคืนอยู่ 4 จาน

เริ่มมาก็สั่งเครื่องดื่มสักหน่อย เป็น cocktail ที่ทำจากแชมเปญกับพีช ผสม herb ต่างๆ รวมไปถึง dashi ด้วยเพื่อเปิดต่อมอยากอาหาร

จานแรกเริ่มที่ Baby corns ดูเผินๆ หน้าตาไม่ได้แฟนซีอะไร แต่อร่อยดี
มันคือข้าวโพดอ่อนปั่นผสมกับข้าวโพดอีกทีนึงแล้วใส่กลับไปย่างในฝัก


จานที่สอง Squid fromage blanc
เป็นปลาหมึก Aoriika บนชีสขาว (fromage blanc ที่เอาไว้ทำชีสเค้กนั่นแหละ) แทรกตรงกลางด้วยคาเวียร์ ตกแต่งด้วยดอกไม้สวยงาม ทานได้. ตัวปลาหมึกไม่ได้ปรุงรสอะไรมากนอกจากเกลือนิดหน่อย แต่ทานพร้อมกับชีสและคาเวียร์อร่อยมาก เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ ทานง่าย ไม่เหนียว ไม่คาว
ปิดจานที่สองด้วยหนวดปลาหมึก Aoriika ชุบแป้งทอดบางๆ พร้อมกับซอสturnip (หัวผักกาด) อันนี้ก็ดีงาม

คั่นรายการด้วยหมั่นโถว. ห้ะ หมั่นโถว มันมาอยู่ในร้านอาหารฝรั่งเศสได้ไงนะ?
เสริฟมาในกะลามะพร้าว คลุมด้วยผ้าขาวเอาไว้ หอมนุ่มดีมาก เอาไว้กินตัดรสระหว่างจานได้ดีทีเดียว
ถ้ดมาเป็น Chicory (เป็นผักที่เป็นชั้นๆ คล้ายๆ ผักกาด กะหล่ำปลี) แทรกแต่ละชั้นด้วย black truffle แผ่นบางๆ ประดับด้วยเลม่อน ราดซอส blue cheese เสริฟพร้อมเกลือคมบุ
ทำออกมาได้น่าประทับใจ กลิ่น truffle ไม่ได้เด่นจนเกินไปอย่างที่กลัว

ระหว่างทาน เชฟก็เอาของที่จะกลายเป็น main dish มาโชว์
มันคือสันในของหมู เลี้ยงที่ ริวกิว บนเกาะโอกินาว่า

ถัดมาคือปลาเนื้อขาว Ayu ยอดฮิตแห่งหน้าร้อน ถ้าใครไปพักเรียวกังช่วงเดือนกรกฏา-สิงหา น่าจะต้องมีเมนูนี้ ส่วนใหญ่จะเสริฟแบบเสียบไม้ย่าง
ที่นี่เค้าเสริฟแบบชุบแป้งทอดแปะด้านบนด้วย Sansho สไลด์บางๆ พร้อมกับซอสสาหร่ายและน้ำมะเขือเทศแก้วจิ๋วๆ



มีขนมปังมาเสริฟเพิ่มให้อีกชิ้นนึง สำหรับทานกับจานถัดไป

และ Main dish ของเราในวันนี้ หลังจากเชฟแห่หมูไปทั่วร้านแล้ว ก็เอาไปย่างซอสไวน์แดงมาให้เรา เนื้อนุ่มๆ เสริฟพร้อม puree ผักโขม ที่โรยผงผักโขมอีกทีนึง ผักโขม-ception สุด
ข้างๆ ยังมี Yuzu และเกลือ ให้เลือกใส่ได้ตามใจชอบ
โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่า แค่ซอสไวน์แดงกับเกลือก็อร่อยมากๆ แล้ว

จากนั้นเชฟจะมาเสริฟชาร้อน แล้วแต่ว่าวันนั้นจะมีอะไรบ้าง แอดเลือกชาสมุนไพร


เข้าสู่ช่วงของหวาน จานแรกทำมาจากเสาวรสเชอเบตกับครีมและเยลลี่ โปะด้านบนด้วยโฟมตะไคร้ ครบทุก texture มากๆ ครีมกับเยลลี่มาช่วยตัดรสเปรียวจากเชอเบต มีกลิ่นหอมตะไคร้เล็กๆ ปกติไม่ชอบกินเสาวรส แต่อันนี้ต้องยอมเลย


ของหวานอย่างที่สองคือ มูส Amazon Cocoa โรยหน้าด้วย cocoa nibs และเคลือบด้วยเยลลี่ที่ทำจากใบ Shiso สีแดง อีกทีนึง ประทับใจมาก

ถึงแม้ว่าจะจบ course แล้ว แต่ก็มีเชอรี่สีแดงลูกใหญ่จากจังหวัด Yamagata มาให้ปิดท้าย หวานกำลังดี ไม่มากเกินไป ถือว่าปิดมื้อได้อย่างสมบูรณ์สุดๆ

เป็นประสบการณ์การทานอาหารที่ดีมากๆ เชฟไม่ได้ใช้วัตถุดิบแฟนซีอะไร ใช้วัตถุดิบบ้านๆ คุณภาพดี มาสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ เป็นร้านที่แทบจะไม่ได้เจอเมนูเดิมเลย เพราะเค้าจะจำชื่อลูกค้าไว้ว่ามากี่ครั้ง กับใคร เสริฟเมนูไหนไปแล้วบ้าง อย่างเช่นวันนี้ต่อให้เป็น course กลางวันเหมือนกัน แต่เมนูแต่ละโต๊ะก็จะต่างกันเล็กน้อย บางโต๊ะเป็นลูกค้าประจำ ก็ได้เมนูที่ไม่เหมือนใครเลยก็มี
Florilège จัดว่าเป็นอีกร้านนึงที่แนะนำให้มาลองจริงๆ